ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ 2020: หลังการแข่งขัน
ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของบาเยิร์น มิวนิก ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2020
บาเยิร์น มิวนิก กับถ้วยยุโรปสมัยที่ 6
ชัยชนะในปี 2020 นำพาบาเยิร์น มิวนิกขึ้นแท่นคว้าถ้วยยุโรปเป็นสมัยที่ 6 โดยทำให้พวกเขาเทียบเท่ากับลิเวอร์พูล และยังตามหลังเพียงเรอัลมาดริด (15 สมัย) และเอซีมิลาน (7 สมัย) ในการจัดอันดับทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุโรป ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่แชมป์ธรรมดา ๆ แต่เป็นการคว้าทริปเปิลแชมป์ (แชมป์ลีก, ถ้วยในประเทศ และแชมเปียนส์ลีก) เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร หลังจากฤดูกาล 2012–13 ทำให้บาเยิร์นกลายเป็นหนึ่งในสองสโมสรยุโรปที่เคยคว้าทริปเปิลแชมป์สองครั้ง อีกทีมหนึ่งคือบาร์เซโลนา (2008–09 และ 2014–15)
คิงส์ลีย์ โกม็อง: ฮีโร่แห่งค่ำคืน
ในการแข่งขันนัดชิง คิงส์ลีย์ โกม็อง ปีกชาวฝรั่งเศสและอดีตนักเตะปารีส แซงต์-แชร์กแมง กลายเป็นฮีโร่ของบาเยิร์นด้วยการทำประตูชัย ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของการแข่งขัน ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าจดจำสำหรับโกม็องที่ครั้งหนึ่งเคยสวมเสื้อทีมคู่แข่ง
มานูเอล นอยเออร์: ป้อมปราการที่ยากจะทำลาย
มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูระดับโลก ได้แสดงศักยภาพอย่างยอดเยี่ยมด้วยการเซฟสามครั้งสำคัญในนัดชิง ส่งผลให้บาเยิร์นไม่เสียประตู และช่วยให้ทีมคว้าชัยได้อย่างงดงาม เขายังได้รับการยกย่องเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ในแชมเปียนส์ลีก
บาเยิร์นกับสถิติที่ยากจะลบล้าง
ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้บาเยิร์น มิวนิกกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ยุโรปด้วยการชนะทุกนัดในฤดูกาล จำนวนทั้งสิ้น 11 นัด ซึ่งถือเป็นสถิติที่ยากจะหาใครเทียบเทียม นอกจากนี้ นี่ยังเป็นครั้งที่ 14 ที่มีทีมคว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีกโดยไม่แพ้ใคร และบาเยิร์นกลายเป็นทีมที่ 10 ที่ทำได้
ความสำคัญของผู้เล่นและบันทึกหน้าประวัติศาสตร์
ผู้เล่นที่คว้าทริปเปิลแชมป์สองสมัย
ผู้เล่นบาเยิร์นหกคน ได้แก่ เดวิด อลาบา, เจอโรม บัวเต็ง, ฆาบี มาร์ติเนซ, โธมัส มุลเลอร์, และมานูเอล นอยเออร์ ได้แชมป์ยุโรปเป็นครั้งที่สอง โดยในจำนวนนี้ 5 คนเคยเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าแชมป์ในฤดูกาล 2012–13 ทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เล่นที่คว้าทริปเปิลแชมป์สองครั้งในยุโรป
อัลฟอนโซ เดวีส์: จากแคนาดาสู่เวทีโลก
อัลฟอนโซ เดวีส์ สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะผู้เล่นชายชาวแคนาดาคนแรกที่คว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีก ความสำเร็จของเดวีส์แสดงถึงศักยภาพของนักเตะรุ่นใหม่ที่ก้าวขึ้นมาท้าทายเวทีระดับโลก
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และความท้าทายของสโมสรฝรั่งเศส
การพ่ายแพ้ครั้งนี้ของปารีส แซงต์-แชร์กแมง เป็นบทสรุปที่น่าเสียดายสำหรับพวกเขา ทำให้ทีมจากฝรั่งเศสยังคงมีเพียงโอลิมปิก มาร์กเซย ที่เคยคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปเมื่อปี 1993 และปารีสยังไม่สามารถแก้ไขคำสาปที่ทำให้ทีมจากลีกเอิงล้มเหลวในรอบชิงชนะเลิศ
เหตุการณ์หลังเกมและผลกระทบที่ตามมา
การปะทะของแฟนบอล
หลังการแข่งขัน แฟนบอลปารีส แซงต์-แชร์กแมงในกรุงปารีสเกิดความไม่พอใจจนก่อเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการเผารถยนต์และโจมตีอาคาร รวมถึงการจุดพลุและยิงดอกไม้ไฟ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความหลงใหลและความกดดันที่แฟนบอลมีต่อทีมรัก
ผลงานทางโทรทัศน์และความนิยม
นัดชิงชนะเลิศในปีนี้มีผู้ชมจำนวนมหาศาล ในฝรั่งเศส มีผู้ชมเฉลี่ย 11.1 ล้านคนทาง TF1 ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงเป็นอันดับสามของนัดชิงในประเทศ รองจากปี 1993 และ 2004 ส่วนในเยอรมนี มีผู้ชมสูงถึง 12.8 ล้านคนทางช่อง ZDF และอีก 1.04 ล้านคนผ่าน Sky Deutschland
มองไปข้างหน้า
ในฤดูกาลถัดมา บาเยิร์น มิวนิกและปารีส แซงต์-แชร์กแมงกลับมาพบกันอีกครั้งในรอบก่อนรองชนะเลิศ ผลการแข่งขันสองนัดเสมอกัน 3-3 แต่ปารีสผ่านเข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน การพบกันครั้งนี้กลายเป็นบทพิสูจน์ถึงการพัฒนาของทั้งสองทีม และเป็นสัญญาณว่าทั้งสองยังคงเป็นพลังสำคัญในฟุตบอลยุโรป.