2021 UEFA Champions League final: Match Day

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2021: บทสรุปแห่งความยิ่งใหญ่

บทนำ: ค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์

ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 สนามเอสตาดิโอ โด ดราเกา ในเมืองโปร์ตู ประเทศโปรตุเกส กลายเป็นเวทีแห่งการต่อสู้ระหว่างสองยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี โดยมีผู้ชม 14,110 คนร่วมเป็นสักขีพยานในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความทรงจำ


ครึ่งแรก: การเปิดฉากที่ดุเดือด

การแข่งขันเริ่มต้นเวลา 20.00 น. เพียงนาทีที่ 4 ไค ฮาแวร์ตซ์ ส่งบอลเข้าเขตโทษของแมนเชสเตอร์ ซิตี แต่ถูกเอแดร์สัน ผู้รักษาประตูชาวบราซิล เก็บบอลไว้ได้ ห้านาทีต่อมา เอแดร์สันเตะบอลยาวไปถึงราฮีม สเตอร์ลิง ซึ่งควบคุมบอลได้และกำลังจะยิง แต่ถูกรีซ เจมส์ สกัดไว้ได้ทันเวลา

ในนาทีที่ 15 เมสัน เมาท์ ส่งบอลให้ติโม แวร์เนอร์ ยิงตรงไปยังเอแดร์สัน ก่อนที่จะยิงอีกครั้งแต่ถูกปัดออกเป็นลูกเตะมุม เบน ชิลเวลล์ เปิดบอลไปยังเสาไกล แต่ลูกโหม่งของเอ็นโกโล ก็องเต้ หลุดข้ามคานประตูของแมนเชสเตอร์ ซิตีไป

นาทีที่ 28 ฟิล โฟเดน ได้โอกาสเข้าไปยิงประตู แต่ถูกอันโตนิโอ รูดิเกอร์ เข้าสกัดไว้ได้ สองนาทีถัดมา ไคล์ วอล์กเกอร์ ส่งบอลข้ามเขตโทษของเชลซี แต่บอลหลุดจากระยะของริยาด มาห์เรซไปเพียงเล็กน้อย สิบนาทีก่อนหมดครึ่งแรก อิลคาย กุนโดกันได้รับใบเหลืองจากการทำฟาวล์ใส่เมาท์

ประตูสำคัญก่อนพักครึ่ง

ในนาทีที่ 38 ก็องเต้จ่ายบอลให้ฮาแวร์ตซ์ ซึ่งเกือบจะได้ยิงแต่ถูกโอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เข้าสกัด หนึ่งนาทีถัดมา เชลซีต้องเปลี่ยนตัวคนแรกในเกมนี้ โดยให้แอนเดรียส คริสเตนเซน ลงมาแทนติอาโก้ ซิลวาที่บาดเจ็บ

สามนาทีก่อนหมดครึ่งแรก เชลซีทำประตูขึ้นนำ เมาท์ส่งบอลให้ฮาแวร์ตซ์ ซึ่งหลุดเดี่ยวเข้าไปเผชิญหน้ากับเอแดร์สัน แม้ผู้รักษาประตูจะพยายามปัดบอลออก แต่ฮาแวร์ตซ์เก็บบอลได้และยิงเข้าประตูเปล่า ทำให้เชลซีขึ้นนำ 1–0 มีการทดเวลาเจ็บสามนาทีในครึ่งแรก

ครึ่งหลัง: ความพยายามของแมนเชสเตอร์ ซิตี

ทั้งสองทีมไม่ได้เปลี่ยนตัวในช่วงพักครึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตีเริ่มครึ่งหลังด้วยการครองบอลเหนือกว่า ในนาทีที่ 57 รูดิเกอร์โดนใบเหลืองจากการทำฟาวล์ใส่เควิน เดอ บรอยน์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากจังหวะนี้ และต้องออกจากสนามตามระเบียบการตรวจการกระทบกระเทือน ถูกเปลี่ยนตัวด้วยกาเบรียล เชซุส

สองนาทีถัดมา แมนเชสเตอร์ ซิตียื่นอุทธรณ์ขอลูกจุดโทษหลังบอลโดนแขนของเจมส์ในเขตโทษ แต่ VAR ตัดสินว่าไม่มีฟาวล์ เนื่องจากบอลกระดอนจากหน้าอกของเจมส์ก่อน ในนาทีที่ 64 แบร์นาโด ซิลวาถูกเปลี่ยนตัวออกให้แฟร์นันดินโญ่ลงสนามแทน ส่วนเชลซีเปลี่ยนคริสเตียน พูลิซิช ลงแทนแวร์เนอร์


ช่วงท้ายเกม: การป้องกันที่เหนียวแน่น

เมื่อเหลือเวลา 21 นาที แมนเชสเตอร์ ซิตีพยายามตีเสมอ มาห์เรซเปิดบอลให้กุนโดกัน แต่ถูกเซซาร์ อัซปิลิกูเอตา สกัดไว้ได้ สี่นาทีถัดมา พูลิซิชแตะบอลให้ฮาแวร์ตซ์ ก่อนฮาแวร์ตซ์ส่งคืนพูลิซิช แต่ลูกยิงของเขาหลุดเสาออกไป

ในนาทีที่ 75 สเตอร์ลิงจ่ายบอลให้เชซุส แต่ถูกชิลเวลล์เคลียร์บอลออกไป แมนเชสเตอร์ ซิตีเปลี่ยนตัวครั้งที่สาม โดยส่งเซร์คิโอ อเกวโร ลงสนามในเกมสุดท้ายของเขาแทนสเตอร์ลิง ส่วนเชลซีเปลี่ยนมาเตโอ โควาชิช ลงแทนเมาท์ในนาทีที่ 80 ห้านาทีถัดมา อเกวโรพยายามส่งบอลลอยไปหาโฟเดนที่เสาไกล แต่บอลถูกเอดัวร์ เมนดี้รับไว้ได้ นาทีถัดมา วอล์กเกอร์เปิดบอลยาวข้ามฟากที่เกือบถึงอเกวโรและโฟเดน

ช่วงเวลาสุดท้าย: เชลซีคว้าชัย

สองนาทีก่อนหมดเวลา เชซุสโดนใบเหลืองจากการทำฟาวล์ใส่ฮาแวร์ตซ์ ก่อนที่คริสเตนเซนจะสกัดบอลช่วยรักษาสกอร์นำของทีมไว้ได้ เมื่อหมดเวลาปกติ ผู้ตัดสินที่สี่แจ้งว่ามีการทดเวลาบาดเจ็บเจ็ด

Similar Posts