2024 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ: พื้นหลัง

สำหรับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นี่เป็นการเข้ารอบชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งที่สาม และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พ่ายแพ้ให้กับบาเยิร์น มิวนิก 1-2 ในศึกแดร์คลาสซิเกอร์เมื่อปี 2013 ซึ่งจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์เช่นเดียวกัน และยังเป็นนัดชิงชนะเลิศยุโรปครั้งแรกของผู้จัดการทีม เอดิน แทร์ซิช นอกจากนี้ ดอร์ทมุนด์ยังเคยชนะในนัดชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปคัพวินเนอร์สคัพในปี 1966 และเข้ารอบชิงยูฟ่าคัพอีกสองครั้ง โดยพ่ายแพ้ในปี 1993 และ 2002

ทางด้านเรอัล มาดริด นี่เป็นการเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปครั้งที่ 18 ซึ่งเป็นสถิติใหม่ และเป็นครั้งที่สองในรอบสามปี พวกเขาชนะมาแล้ว 14 นัดชิง (ในปี 1956, 1957, 1958, 1959, 1960, 1966, 1998, 2000, 2002, 2014, 2016, 2017, 2018 และ 2022) และแพ้ 3 ครั้ง (ในปี 1962, 1964 และ 1981) ส่วนคาร์โล อันเชลอตติ ผู้จัดการทีมเรอัล มาดริด ยังทำสถิติเป็นผู้จัดการทีมที่เข้ารอบชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมากที่สุดถึง 6 ครั้ง โดยชนะในปี 2003 และ 2007 และแพ้ในปี 2005 ขณะที่คุมทีมเอซี มิลาน และยังชนะในรอบชิงปี 2014 และ 2022 กับเรอัล มาดริดอีกด้วย นอกจากนี้ เรอัล มาดริดยังเข้ารอบชิงถ้วยคัพวินเนอร์สคัพ 2 ครั้ง (แพ้ในปี 1971 และ 1983) และเข้ารอบชิงยูฟ่าคัพ 2 ครั้ง (ชนะในปี 1985 และ 1986)

นี่เป็นนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกระหว่างสองสโมสรนี้ และเป็นการพบกันครั้งแรกในฟุตบอลยุโรปนับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2017–18 ที่มาดริดชนะ 3-1 ในเกมเยือน และ 3-2 ในบ้าน จากการพบกันทั้งหมด 14 ครั้งที่ผ่านมา ดอร์ทมุนด์ชนะ 3 ครั้ง เรอัล มาดริดชนะ 6 ครั้ง และเสมอ 5 ครั้ง

จนถึงรอบรองชนะเลิศ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์มีสถิติการป้องกันประตูที่ดีที่สุดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2023–24 โดยไม่เสียประตู 6 นัด และเสียประตูเพียง 8 ลูก ในขณะที่ผู้รักษาประตูของเรอัล มาดริดต้องเผชิญโอกาสในการเซฟประตูมากที่สุดในฤดูกาลเดียวกัน

2024 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ: นัดชิงที่ผ่านมา

ในตารางต่อไปนี้ รอบชิงชนะเลิศจนถึงปี 1992 ถือเป็นยุคฟุตบอลถ้วยยุโรป ส่วนตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมาถือเป็นยุคยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก