การแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่มีเรื่องราวน่าจดจำ: ประตูปริศนาของการ์เซีย (2005)

ทันทีที่เสียงนกหวีดเริ่มเกมการแข่งขันที่แอนฟิลด์ไม่กี่นาที แฟนบอลของลิเวอร์พูลก็ต้องลุกขึ้นตะโกนด้วยความหวังและความตื่นเต้น เมื่อ หลุยส์ การ์เซีย กองกลางตัวรุกของทีม ยิงบอลเข้าไปที่หน้าประตูหลังจากเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงในกรอบเขตโทษ บอลพุ่งไปอย่างรวดเร็วและเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต่างต้องจับตามองอย่างระทึกใจ ในขณะที่วิลเลียม กัลลาส นักเตะกองหลังของเชลซีวิ่งเข้ามาเพื่อสกัดบอล หลายคนที่ดูเกมต่างเห็นไม่ชัดเจนว่าบอลข้ามเส้นประตูหรือไม่ แต่กรรมการได้ตัดสินใจเด็ดขาดให้เป็นประตูทันที ทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 1-0

การตัดสินครั้งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขัน เนื่องจากเป็นประตูเดียวที่เกิดขึ้นในนัดนี้ และทำให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด ทว่าหลังเกมจบลง ความขัดแย้งก็เริ่มปะทุขึ้น เมื่อแฟนบอลเชลซีและกูรูฟุตบอลต่างมองว่าบอลไม่ข้ามเส้น แต่ด้วยการที่ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีเทคโนโลยีโกลไลน์ที่สามารถตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ทำให้การตัดสินใจของกรรมการเป็นที่ยอมรับไปตามกฎของเกม

หลังจากเหตุการณ์นี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอล นักวิจารณ์ รวมถึงแฟนบอล ต่างวิเคราะห์เหตุการณ์ดังกล่าวกันอย่างละเอียดและต่อเนื่อง มีการนำภาพวิดีโอและมุมกล้องต่างๆ มาตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งแต่ละฝ่ายก็ยังมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งเชื่อว่าการตัดสินใจของกรรมการนั้นถูกต้อง ในขณะที่อีกฝั่งเชื่อว่ากัลลาสสกัดบอลออกจากเส้นได้ทัน ท่ามกลางการโต้เถียงไม่รู้จบ ประตูนี้ถูกตั้งฉายาว่า “ประตูผี” (Ghost Goal) เพราะไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด

แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีนับจากเหตุการณ์นี้ แต่ประตูปริศนาของการ์เซียยังคงเป็นที่พูดถึงในวงการฟุตบอลและในหมู่แฟนบอลเสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นแรงผลักดันให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการตัดสินเกมฟุตบอล โดยเฉพาะเทคโนโลยีโกลไลน์ที่ถูกนำมาใช้ในปี 2012 เพื่อแก้ไขปัญหาประตูปริศนาเช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ไม่เพียงแค่การถกเถียงเกี่ยวกับประตูนี้เท่านั้นที่ทำให้เกมนี้มีความสำคัญ แต่การที่ลิเวอร์พูลสามารถคว้าชัยชนะจากเชลซีและผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของหนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ในปีนั้น ลิเวอร์พูลได้ไปเผชิญหน้ากับเอซี มิลาน ในรอบชิงชนะเลิศที่อิสตันบูล ซึ่งเกมนั้นกลายเป็นตำนานเมื่อพวกเขาคัมแบ็คจากการตามหลัง 0-3 ในครึ่งแรกกลับมาตีเสมอ 3-3 และคว้าชัยชนะด้วยการดวลจุดโทษ สร้างความประทับใจและจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลว่าเป็น “ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล”