บิ๊กสแกนดัลในแชมเปียนส์ลีก: การระเบิดอารมณ์ของบุฟฟอน (2018)
จานลุยจิ บุฟฟอน หรือที่แฟนบอลทั่วโลกต่างยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล บุฟฟอนเป็นที่รู้จักจากทักษะการเซฟที่น่าทึ่ง ความเป็นผู้นำในสนาม และความเยือกเย็นภายใต้ความกดดัน แต่ในปี 2018 ระหว่างการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก เขากลับต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเขาอย่างมาก และกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในวงการฟุตบอล
การแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ระหว่าง ยูเวนตุส และ เรอัล มาดริด ณ สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ยูเวนตุสต้องการกลับมาแก้ตัวหลังจากพ่ายไป 3-0 ในเกมแรกที่ตูริน ทีมจากอิตาลีกลับมาสู้เต็มที่และทำได้อย่างน่าประทับใจ โดยยิงคืน 3 ประตู ทำให้ผลรวมของคะแนนทั้งสองนัดเสมอกัน 3-3 ซึ่งทำให้เกมลุ้นอย่างสุดๆ ใกล้จะต่อเวลาพิเศษแล้ว จนกระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย เมื่อ ลูคัส วาซเกซ ของเรอัลมาดริดถูก เมห์ดี้ เบนาเตีย กองหลังของยูเวนตุส ทำฟาวล์ในเขตโทษ ผู้ตัดสิน ไมเคิล โอลิเวอร์ ไม่ลังเลที่จะเป่าให้จุดโทษแก่ทีมเจ้าบ้าน
การตัดสินใจครั้งนี้เหมือนจุดชนวนความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับนักเตะยูเวนตุส บุฟฟอน ผู้ที่เป็นผู้นำของทีมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เขาวิ่งเข้าหาโอลิเวอร์อย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกับนักเตะคนอื่นๆ ที่ล้อมกรอบผู้ตัดสิน ภาพที่บุฟฟอนตะโกนใส่โอลิเวอร์ด้วยอารมณ์เดือดถูกถ่ายทอดสดไปทั่วโลก คำพูดของเขารุนแรงจนโอลิเวอร์ต้องชูใบแดงไล่เขาออกจากสนาม
ในเวลาต่อมา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงจุดโทษเข้าไปอย่างเยือกเย็น ส่งเรอัลมาดริดเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ขณะที่ยูเวนตุสต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวด เหตุการณ์นี้ทำให้บุฟฟอนถูกแบน 3 นัดจากการแข่งขันในยุโรป และชื่อเสียงในฐานะผู้เล่นที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีของเขากลับต้องถูกตั้งคำถาม
สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้ยิ่งดราม่ามากขึ้น คือการที่บุฟฟอนออกมาวิจารณ์โอลิเวอร์ต่อหน้าสื่อมวลชนหลังเกม โดยใช้ถ้อยคำที่แรงจนเกินไป เขากล่าวว่า “คุณต้องมีหัวใจเหมือนถังขยะ เพื่อจะเป่าจุดโทษแบบนั้นในนาทีสุดท้ายของเกมสำคัญขนาดนี้” คำพูดเหล่านี้กลายเป็นพาดหัวข่าวไปทั่ว และในไม่ช้า การตอบสนองจากแฟนบอลบางกลุ่มก็เริ่มก้าวไปไกลกว่าที่ควร พวกเขาได้หมายเลขโทรศัพท์ของภรรยาโอลิเวอร์ และเริ่มส่งข้อความขู่ฆ่า ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่การถกเถียงเรื่องฟุตบอล แต่กลายเป็นประเด็นเกี่ยวกับความรุนแรงในโลกออนไลน์ที่กำลังเป็นปัญหาในวงการกีฬา
บุฟฟอนในเวลาต่อมาได้ออกมาขอโทษสำหรับคำพูดของเขา และยอมรับว่าการระเบิดอารมณ์ในวันนั้นเกิดจากความผิดหวังและความรักในทีมที่เขารับใช้มาหลายปี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ยังคงถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่การตัดสินใจที่เปลี่ยนเกม แต่ยังเป็นบทเรียนเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ภายใต้ความกดดัน และความเสี่ยงของการแสดงออกทางอารมณ์ในที่สาธารณะ
นอกจากนี้ การระเบิดอารมณ์ของบุฟฟอนยังได้เปิดการสนทนาเกี่ยวกับมาตรฐานการตัดสินของผู้ตัดสินในฟุตบอลยุโรป ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้แฟนบอลและผู้เล่นหลายคนตั้งคำถามถึงความยุติธรรมและความสามารถของผู้ตัดสินในการจัดการกับสถานการณ์ความกดดันสูง